พอดีเพิ่งได้กินสาหร่าย “ถ้าแก่น้อย” เมื่อไม่นานที่ผ่านมานี้เอง เลยลองเข้าไปหาข้อมูลของบริษัท พบข้อมูลที่น่าทึ่ง ดังนี้ครับ…
อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์
เปิดตัวผู้บริหารหน้าใหม่ของเด็กหนุ่มวัยเพียงแค่ 21 ปี(ในปี 2549) ที่สามารถกุมบังเหียนครองแท่นเบอร์หนึ่ง ตลาดสแน็คสาหร่าย ของประเทศ อย่าง อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ภายใต้ชื่อแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” สมกับชื่อแบรนด์
ด้วยวัยเพียงแค่ 21 ปี ซึ่งน่าจะอยู่ในช่วงของการศึกษา และเที่ยวเตร่ แต่สำหรับอิทธิพัทธ์ กลับมองว่าการมุ่งทำธุรกิจของตัวเองท่าจะรุ่งมากกว่า จึงเป็นที่มาที่ไปของการ ก่อตั้งบริษัท เถ้าแก่น้อย ด้วยทุนส่วนตัว ขณะที่ธุรกิจเดิมของครอบครัวจะทำเกี่ยวกับการรับเหมาก่อสร้างซึ่ง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มสแน็คเลย
ผลงานชิ้นแรกของ อิทธิพัทธ์ คือเจ้าของธุรกิจแฟรนไซส์ เกาลัดญี่ปุ่น ภายใต้แบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” ซึ่งทำได้ไม่นานก็ได้ขายกิจการให้กับนายทุนคนอื่น แต่ด้วย เลือดนักธุรกิจที่ยังไม่หยุดนิ่ง ประจวบเหมาะกับช่วงปี 2547 เป็นกระแสที่สาหร่ายที่มาแรง จึงมีแนวความคิด ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาเอง ภายใต้บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด โดยใช้งบประมาณก่อตั้งประมาณ 10 ล้านบาท คุมพนักงาน 300 ชีวิต ในการสร้าง สแน็คสาหร่าย ภายใต้แบรนด์เถ้าแก่น้อยเหมือนเคย
โดยมีตลาดหลัก คือการส่งออกไปต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง มาเก๊า ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย เป็นต้น และในวันนี้ จึงตัดสินใจย้อนศร หันมาทำตลาดในประเทศเพิ่มเติม โดยลุยแบบเต็มรูปแบบ อิทธิพัทธ์ ประกาศพร้อมทำตลาดแบบย้อนศร กลับมาทำตลาดในประเทศอย่างเต็มรูปแบบมากยิ่งขึ้น
สาเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มประสบความสำเร็จได้มากเกินกว่าอายุแบรนด์เถ้าแก่น้อย อิทธิพัทธ์ กล่าวว่า บุคคลที่ยึดเป็นแบบอย่างในการดำเนินงานคือ ธนินท์ เจียรวนนท์ ผู้นำกลุ่มซีพี, ตัน ภาสกรนที ผู้นำด้านตลาดชาเขียวโออิชิ ที่เขาเอามาเป็นแบบอย่างที่ดี โดยให้ความสำคัญกับรสชาติสินค้าเ และการประชาสัมพันธ์ บวกกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดูทันสมัยสะดุดตา รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ มีตัวมาสคอต ที่น่ารัก เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งหมดเป้ฯปัจจัยที่ประกอบกันส่งผลให้กิจการสาหร่ายญี่ปุ่นทอดกรอบภายใต้ชื่อ “เถ้าแก่น้อย” มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ถึง 50 -60% ต่อเดือน
การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง โดย การจัดกิจกรรมทางการตลาดดังที่กล่าวมาข้างต้น จะสามารถทำให้ผู้ บริโภคหรือ กลุ่มเป้าหมายรู้จักแบรนด์สินค้าเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน การเตรียมวางแผนงานกิจกรรมการตลาดในระยะต่อไปเพื่อสร้างความผูกพันแบรนด์กับ กลุ่มเป้าหมายให้เพิ่มมากขึ้นในโอกาสต่อไป
เป้าหมายต่อไป อิทธิพัทธ์ หวังไว้ว่าจะขยายอาณาจักรของแบรนด์เถ้าแก่น้อย เพิ่มมากขึ้นในประเทศ และคาดหวังว่าในปี 2550 แบรนด์เถ้าแก่น้อยจะสามารถขยับแชร์ในตลาดเพิ่มขึ้นได้อีกกว่า 70% ซึ่งเป็นไปได้ไม่ยากมากเกินความสามารถ เพราะในปัจจุบันแบรนด์ก็เป็นผู้นำด้านตลาดกลุ่มนี้อยู่แล้ว
คอยติดตามดูก้าวต่อไปในการเติบโตของ เถ้าแก่น้อย คนนี้ว่า เขาจะคิดและทำอะไรอีกจากนี้ไป
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.