เมื่อวันเดินทางมาถึงพวกเราต้องเดินทางไปยังสถานีรถไฟที่ชื่อว่า Bangalore CITY เพื่อออกเดินทางไป นิวเดลี
สถานีรถไฟใน บังกาลอร์มีทั้งหมด 3 สถานี สถานีนี้เป็นสถานีที่ใหญ่ที่สุด
กำหนดเวลารถไฟออก คือ 18.40 แต่พวกเราออกเดินทางจากที่พักเวลา 14.30 ใช้เวลาในการเดินทางจากที่พักไปสถานีรถไฟ 1 ชั่วโมง
พวกเราไปถึงเวลาประมาณบ่าย
3 ครึ่งนั่นหมายความว่าเราต้องรอถึง 3 ชั่วโมงกว่าที่รถไฟจะออก
พอไปถึงสถานีรถไฟสิ่งที่ผมรู้สึกได้คือความสกปรก ความหน่าแน่นของฝูงชน คนอินเดียส่วนใหญ่นั่งนอนบนพื้น ทั้งๆที่เขาก็มีการสร้างห้อง Waiting Room เอาไว้ให้แล้ว แต่ในห้องพวกนั้นกลับไม่ค่อยมีคน
พวกผมเอาสัมภาระไปฝากที่ห้องที่เรียกว่า "Cloak Room" เสียค่าฝากกระเป๋ากันใบละ 10 Rupees จากนั้นก็ไปเดินเล่นกันต่อจนใกล้ๆถึงเวลารถไฟก็มาถึง
ที่ทางเข้ารถไฟแต่ละตู้จะเขียนที่นั่งและชื่อผู้โดยสาร เพศ อายุ เอาไว้พร้อมสรรพ ให้คนขึ้นได้ตรวจสอบเอาจากตรงนั้น
หลังจากที่ผมตรวจสอบในตั๋วเราได้ตู้ที่ชื่อ AS2 เป็นชั้นที่เรียกว่า "AC3 Tier" หรือ แอร์สามชั้น ถ้าแปลเป็นไทย
ซึ่งก็หมายความว่าต้องมีคนนึงที่ไปนั่งอยู่กับแขกเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหมือนกัน
ที่นั่งบนรถไฟจะเป็นม้านั่งยาวมีเบอะพอนิ่มนั่งฝั่งละ 3 คน ข้างบนมีที่นอนอีก 2 ชั้น ชั้นสอง ถูกพับเก็บไว้ใต้ที่นั่งบนรถไฟจะมีห่วงเล็กๆอยู่เพื่อให้เราเอาโซ่ไปคล้องกับกระเป๋า ป้องกันการถูกขโมย ตรงนี้ผมหาข้อมูลมาจึงเตรียมโซ่ไปเรียบร้อย แต่ที่สถานีรถไฟก็มีขายกันเกลื่อน
พอเราขึ้นไปนั่งจัดกระเป๋าเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยอยู่ดีๆ เจ ก็ร้องโวยวายขึ้นมา เล่นเอาตกใจกันอย่างมาก สิ่งที่เจ เจอ นั่นก็คือ"แมลงสาบ" บนที่นั่งนั่นเอง แล้วพวกเราก็เจอกับมันตลอดการเดินทางรวมกันหนูตัวเล็กๆด้วย
สักพักเพื่อนร่วม Coach ของพวกเราก็ขึ้นมาเป็น พระธิเบตอายุ 37 ปี , หนุ่ม IT อายุ 24 จากแคว้น แจมมูและแคชเมียร์ ส่วนอีกคนจะตามขึ้นมทีหลัง (อาจจะส่งสัยว่าไปรู้อายุเขาได้ไงมันมีติดเอาไว้ที่ตู้ก่อนขึ้นไง)
พูดถึงระยะเวลาการเดินทางจาก เมืองบังกาลอร์ ไปยัง นิวเดลี อยากให้ท่านผู้อ่านลองเดาดูสักนิดว่าใช้เวลานานแค่ไหน(บังกาลอร์อยู่ทางตอนใต้ เดลีอยู่ทางตอนปลายภาคเหนือของอินเดีย)
12 ชั่วโมง? 24 ชั่วโมง ? ไม่ใช่ครับ ถ้าลองคิดจากระยะเวลาการเดินทางด้วยรถไฟจาก นราธิวาสไปเชียงราย (ที่ไทยคงไม่มีสายไหนวิ่งยาวขนาดนั้นเหนือสุดไปใต้สุด) คงจะกินเวลาประมาณ เกือบๆ 30 ชั่วโมง
แต่รถไฟที่ผมนั่งไปใช้เวลาทั้งหมด 42 ชั่วโมง ใช่แล้วครับ เกือบๆ 2 วันเต็มๆ นั่นแสดงว่าพวกเราต้องอยู่บนรถไฟ 2 คืน เต็มๆ
แล้วเราจะกินอะไรล่ะ ? บนรถไฟสายยาวๆ ของอินเดียจะมีตู้ที่เรียกว่า Pantry สำหรับทำอาหารอยู่ จะมีพนักงานของรถไฟเดินมาถามเป็นระยะๆ ว่าจะกิน Breakfast ไหม lunch ไหม dinner ไหม ก็อาศัยตรงนี้รอดมาได้
ที่เป็นเรื่องตลกบนรถไฟคือจะมีคนขายพวก ชา กาแฟ มาบ่อยมาก สนนราคาแก้วละ 4-5 Rupees ชาของอินดียเขาเรียกว่า "จัย" ซึ่งเวลาเขามาขายก็จะตะโกนว่า "จัยๆๆๆๆ" เสียงยืดๆ ตลอดเวลา เล่นเอาไม่ได้นอนกันไปเลย รู้สึกเหมือนเจจะชอบเสียงนี้มาก
ผมได้ลองชาที่เขาขายกินครั้งแรกๆ ไม่อร่อยเลย แต่พอกินๆ ไปกลับรู้สึกว่ามันอร่อยทำให้ตลอดทริบนี้ติดชาอินเดียไปเลย ชาที่มาขายจะมีหลายแบบมาก "มาซาลา จัย" เอย "ซอยยา จัย" (ลองฟังเสียงสำเนียงอินเดียมา) แต่ทุกอย่างรดชาติเหมือนกันหมดทำเอาผมเสียตังค่าโง่ลองไปตั้งหลายแก้ว
ช่วงที่อยู่บนรถไฟคิมจะเรียกว่าซวยก็ว่าได้เพราะเป็นทั้งไข้หวัด และ ท้องเสีย
ระยะเวลาสองวันบนรถไฟ มันมากพอที่จะทำให้ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆข้างๆ ได้ อย่างเช่น พระลามะจากเมืองสิกขิม ได้สอนพวกเราเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา หลายเรื่อง เช่น ลามะ แปลว่า ผู้สอน , ศาสนากับวิทยาศาสตร์ , การปฏิบัติตนของพระแต่ละนิกาย และอื่น
ส่วนหนุ่มที่มาจาก แจมมูและแคชเมียร์ พวกเราถามเขาว่าไม่กลัวแผ่นดินไหวเหรอ เขาตอบกลับมาว่า "ไม่กลัวหรอกบ้านเมืองของเราสร้างได้แข็งแรงไม่เหมือนญี่ปุ่น อีกอย่างที่ๆ เราอยู่มีเรื่องที่น่ากลัวกว่าแผ่นดินไหวตั้งเยอะ" นั่นสิครับดินแดนเจ้าปัญหาระหว่างอินเดียกับ ปากีสถานแห่งนี้ มีการก่อการร้ายอยู่เนืองๆ
เอาละครับ หลังจากอยู่บนรถไฟกันมานาน พวกเราก็มาถึงเดลี เมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุด เป็นรัฐพิเศษ 1 ใน 27 รัฐของอินเดียแล้ว โปรดติดตามตอนต่อไป
4 thoughts on “ผจญภัยแดนโหด ตอนที่ 2 : รถไฟอินเดีย”
อิจฉาๆ >
กุซวยจิง ๆ ช่างเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายยิ่งนักลามะสอนว่า ไม่มีศาสนาไหน sync เข้ากับวิทยาศาสตร์ได้เท่ากับพุทธศาสนาต่างหากไอ้จ๊อยอ้วน…จงข่าว
นึกถึงแล้วก็เหนื่อย ทำไปได้ไงหว่า เที่ยวตั้งสองอาทิตย์ ^^"
Cockroach, Arghhhhhhhhhhhhh!!!!!!!Yes, Buddhism is the the most logical, reasonable, and scientific religion in the world.PS. THANK YOU for you harassment in my diary :@