My sore….Come to my Dream….

Mysore

Mysore

 

My sore (มายซอร์) เคยเป็นเมืองหลวงของ ราชวงศ์ Wodeyar ซึ่งเป็นราชวงที่ปกครอง รัฐ คานาตากะมาเป้นเวลากว่า 150 ปี จนอินเดียได้รับอิสระ จาก อังกฤษ ราชาคนนั้นมีความสามารถในการศิลปะเป็นอันมาก และมายซอ ยังเป็น ศูนย์รวมวัฒนธรรมของ อินเดีย ตอนใต้อีกด้วยแต่ตอนนี้เมืองหลวงของรัฐนี้ได้ถูกย้ายไปอยู่ที่ บังกาลอร์ แล้ว

ที่เมืองนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานไม่ว่าจะเป็น ทั้งของอินเดียเอง หรือแม้แต่สถาปัตยกรรมอังกฤษก็มีให้เห็น

พวกเราวางแผนที่จะไปที่นี่ตั้งแต่วันพฤหัส ที่ 13 แล้ว แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงเทศกาลใหญ่ของที่นี่ คนพื้นเมืองเลยเปลี่ยนใจ ไปวันที่ 15 ซึ่งเป็นวันเสาร์แทน ด้วยความหวังที่ว่าคนจะน้อย

พูดถึง Trip นี้ โต้โผใหญ่ คือ เจ นั่นเอง ตอนแรกก็บอกว่าจะไปกันเกือบทุกคนเลยจองรถมินิบัสไป เขาคิดค่าจ้างเป็น กิโลเมตร กิโลเมตรละ 7 รูปี แต่พอจะถึงวันไปจริงก็มีคนเปลี่ยนใจไปกว่าครึ่ง สรุปจึงไปกันแค่ 6 คน ด้วยรถที่คล้ายๆ Cr-V บ้านเราแต่ไม่หรูเท่า ชื่อรถ TATA – SUMO ด้วยราคากิโลเมตรละ 6 รูปี น่าเสียดายไปกันเยอะๆน่าจะสนุกกว่านี้….

ออกเดินทางจากที่พักตั้งแต่ 7 โมง เช้า อาศัยทานอาหารเช้ากันบนรถเลยเพื่อประหยัดเวลา  อากาศไม่ร้อนไม่หนาว กำลังสบายๆ ใช้เวลาเดินทางประมาณ  3 ชั่วโมง ก็มาถึงสถานที่เที่ยวที่แรกที่มีชื่อว่า “Gambaz”  ที่นี่เป็น สุสาน ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Tipu สุลต่าน ที่สร้างเพื่อให้พ่อของตนเอง ความจริงก็ไม่ค่อยได้รู้เรื่องอะไรมากนักเกี่ยวกับที่นี่ ต่างชาติ ต่างศาสนา ต่างภาษา เรียกได้ว่าต่างกันทุกอย่างเลย

แต่ลองคิดว่าเราได้ไปเหยีบสถานที่ ที่ครั้งหนึ่งเคยมีประวัติศาสตร์ อันยิ่งใหญ่ และ ยาวนาน ถึงแม้ว่าจะต่างภาษา ต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรมก็ตาม แต่ความยิ่งใหญ่นั้นก็เหมือนกัน และยังคงอยู่ ตลอดไป…

แต่ที่รู้ๆ ค่าวางรองเท้า… 20 รูปีแถมยังมีพวกเด็กบ้าบอมาตามตื้อให้ซื้อของอีกต่างหาก

“Sir Mister Madam Buy please” ได้ยินกันระงม….

เดินผ่าน ม้าที่เขาเอาไว้ให้ขี่ เพื่อน บอม โดนทาบทาม จากพวก แขก

“Come Let’s take a photo with horse…..” พูดอยู่หลายรอบมาก

“How much?”  ถามกลับไป

“Only 10 Rupees”

โอเคถ่ายรูปกับ ม้า เสีย 10 รูปี  บาย ละ Say NO อย่างเดียว… สุดท้ายได้ยินมา โอเค วัน รูปี

แสดงให้เห็นว่าที่นี่เขาแก่งแย่งกันทำมาหากินจริงๆ

หลังจากออกจาก Gambaz ด้วยความงงๆ ก็ไปต่อที่แม่น้ำที่ชื่อ Cuvary  เหมือนกับเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ อะไรสักอย่าง เพราะเห็นคนอินเดียที่นี่ชอบน้ำในแม่น้ำมาล้างมือล้างเท้ากัน  ที่เด็ดที่สุดที่นี่ก็เห็นจะเป็น “เรือเข่ง”  อันนี้ตั้งชื่อให้มันเอง เพราะพอถามพวกแขกว่าเรียกว่าอะไรมันกลับบอกว่า Boat  รูปร่างมันเหมือนเข่งจริงๆ ต้องนั่งอย่างน้อย 4 คน ถ่วงน้ำหนักให้มันเท่ากันดังรูป สนน ราคาคนละ 25 รูปี

หลังจากนั้นก็มาถึงพิพิธภัณ อะไรสักอย่าง ค่าเข้าชม ถ้าเป็นคน อินเดีย 5 รูปี  แต่เป็นคนต่างชาติ 100 รูปี เห็นแล้วนึกถึงวัดพระแก้วที่คนไทย เข้าฟรี แต่ต่างชาติเสียเงิน…

ด้วยความงก พร้อมกับความรู้สึกที่ว่ามันไม่น่าจะมีอะไรก็เลยตัดสินใจไม่เข้ากัน แล้วรีบออกมาจากที่นั่นแต่ก็ไม่ลืมที่จะ ZOOM กล้องเข้าไปถ่ายรูปในนั้นมาด้วย ที่ต้องรีบออกก็เพราะว่าอะไรมันก็เป็นเงินเป็นทองไปทั้งหมด ไม่เว้นแต่ ค่าจอดรถ

หลังจากนั้นก็ขึ้นรถ ออกเดินทางไปยังมัสยิด อะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้คนขับมันจะพาไปทำไม หน้าตาแต่ละคนมุสลิมมากเลยเข้าไปได้แปบเดียวก็ออก เพราะมันไม่มีอะไรให้ดูให้รู้สึกยิ่งใหญ่เลย

ออกมาเจอป้อมปราการ เก่าๆ อยู่อันนึง ผมกับบอม ไม่รอช้าวิ่งขึ้นไปถึงบนนั้นมันสูงมากเหมือนกัน ทำให้สามารถมองเห็นออกไปได้ไกลมาก คนสมัยก่อนนี้เยี่ยมจริงๆที่สร้างสิ่งเหล่านี้ได้ ลองคิดดูว่าเราได้ยืนอยู่บน สถานที่ที่เคยมีการสู้รบ เอาชีวิตกันมาแล้ว มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมากที่นี่ ทั้งเพื่อปกป้องดินแดนและบุคคลอันเป็นที่รักของตนเอง ทั้งฝ่ายบุกที่ต้องการแย่งชิงดินแดนของอีกฝ่ายก็ดี พอดีกว่าชักจะเพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว

ต่อมาก็ออกเดินทางอีกครั้งคราวนี้ไปวัด อะไรไม่รู้ ของ ศาสนาฮินดูมั้ง  ชื่อ Shiva Temple พอเดินเข้าไปจะมีเหมือนกับเป็นซุ้ม อยู่ แต่ละซุ้มก็จะมีวิธีทางศาสนาต่างๆ กัน เพิ่งได้เคยโดนแต้มจุดที่หน้าผากก็วันนี้แหละครับ ทั้งๆที่ไม่รู้ความหมายของมันก็เอาซะหน่อย แต้มเสร็จเขายื่นถาดมาให้ ในถาดมีเงินวางอยู่ แล้วก็พูดว่า money นั่นก็คือขอเงินทำบุญนั่นเอง เอาครับใส่ไป 5 รูปี อ้อที่นี่ต้องถอดรองเท้าอีกแล้ว..แน่นอนค่าฝากรองเท้า 10 รูปี คราวนี้ยัดเงินใส่มือเลยไม่ถามราคาแล้ว………..

เข้าไปแล้วเดินได้แปบเดียว คนก็เยอะมากๆ เหมือนกับศาลเจ้าพ่อเสือช่วงกินเจเลย แต่ที่นี่สกปรก กว่าเถื่อนกว่ามาก…

ออกจากที่วัดก็ไปต่อที่โบส  เซ้น ฟิโลมีน่า (หรือเปล่า)  มีอายุเป็นร้อยปีแล้ว นับเป็นสถาปัตยกรรมของอังกฤษอย่างแท้จริง ที่ตั้งตะหง่า อยู่กลางฝูงแขก…ก็อีกน่ะแหละ เป็นโบสของคริส นิกายคาทอลิก

ก็อย่างว่าล่ะครับ เรื่องวัดชาวพุทธก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเลยนับประสาอะไรกับโบส เข้าไปก็ถ่ายรูปชื่นชมกับความสวยงาม ของโบสอย่างเดียวหลังจากถ่ายรูปกัน จุใจแล้วก็ออกเดินทางไปยังจุด climax ของที่นี่ นั่นก็คือ My Sore Palace หรือ มหาราชา พาเลส นั่นเอง

ที่นี่เป็น พระบรมมหาราชวังของราชวงศ์ Wodeyar ที่ปกครองรัฐนี้มานานกว่า 150 ปี ซึ่งในโบสนี้ก็มีการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรม อินเดีย และ อังกฤษ  เสียค่าเข้าชม 20 RS ต่อคนค่าฝากรองเท้าอีก 3 รูปี ต่อคู่ ก็ถูกดี ทีนี้มีปัญหาเรื่องห้ามเอากล้องเข้าไป มันก็มีเครื่องจับโลหะอยู่ ของผมเป็นกล้อง โคตร Compact เลยใส่กระเป๋าเสื้อไว้ ก็ผ่านไปได้ แต่มิ้งกับบอม กับ เจ โดนจับได้ เลยต้องเอากล้องไปฝาก เสียค่าฝากกล้อง 5 รูปี บอมบอกว่าที่นี่เขาจะเอากุญแจให้คนฝากเลยสงสัยกลัวพนักงานขโมยกันเอง

 

ความรู้สึกที่เห็นในปราสามแห่งนี้ คือ “ซกม๊ก” มาก สกปรกจริงๆ น่าเสียดายของที่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์กลับไม่ได้รับการดูแลรักษามีแต่ความสกปรก ฝุ่นเกาะ พวก ดาบ อาวุธก็สนิมเต็มไปหมด พวกที่นั่งเก้าอี้ ไม่เคยมีการปัดกวาดเช็ดถูตั้งแต่สร้างมาเลยก็เป็นได้ น่าเสียดายจริงๆ คนก็เยอะ แต่ก็พอเดินได้สบายๆ  พอเดินออกมาเสร็จมันก็ส่งให้ไปอีกที่ นึงเดินเท้าเปล่า ผ่านขี้วัว ขี้ อูฐ ไป มันมีให้นั่งอูฐด้วย  25 รูปี อยากลองเหมือนกัน แต่เหนื่อยบวกหิวมาก

 ถูกหลอกให้ไปห้องเก็บของ(อีกปราสาทที่เขาพูดถึง) ของที่ตั้งโชว์ มีแต่ฝุ่น แมงมุม เต็มไปหมด เสียอีก 15 รูปี

หลังจากนั้นก็เดินออกมาไปกิน พิซซ่าเป็นอาหารเที่ยง(กินตอนบ่าย 3)

ช่วงนี้ทุกคนเริ่มแบตหมดกันแล้วแต่ก็ยังไปต่ออีกที่วัดอะไรซักอย่างอยู่บนเขา Chamundi hills ระหว่างทางที่ขับขึ้นเขา คนขับรถก็จอดให้เราถ่ายภาพวิว เป็นระยะ มันสวยมากครับ เห็นเมืองได้ทั้งเมืองจากตรงนี้เลยทีเดียวก็ถ่ายกันเป็นพักๆ กดไปหลายรูปที่ตรงนี้

พอเราไปถึงวัด ก็พบว่าคนเยอะมาก ไม่น่าเชื่อว่าบนเขาคนจะเยอะแบบนี้ แต่ว่าไม่ได้เข้าไปหรอกครับแค่เดินไปเห็นคนเยอะมากจริงๆ อีกทั้งเป็นของศาสนาอะไรไม่รู้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นซิกหรือเปล่าเลยเดินไปถ่ายรูปกันรอบๆ ดีกว่าดูจากข้างนอกมันก็สวยดีนะ ยิ่งใหญ่ดี หลังจากถ่ายรูปกันพอใจแล้วก็เลยเดินไปขึ้นรถ ไปต่อ กันที่ เขื่อน K.R.S.,  

ระหว่างทางเดินไปที่รถเจอพวกเด็กเวรมาตื้อให้ซื้อของแต่กลับเรียกผมว่า อังเคิลๆ ช่วยซื้อหน่อย หนูจะเอาตังไปโรงเรียนมันตื้อนานมาก ทรามสุดๆ ตื้อไม่เลิก โชคดีจริงๆที่ไม่ได้อยู่ในประเทศนี้แบบถาวร

รถติดมาก ไปถึงก็ประมาณ ทุ่มกว่าๆ แล้ว เหนือยกันทุกคน ก็ไปต่อคิวซื้อตั๋ว คิวยาวมากๆ ตั๋วราคา 15 รูปี ค่าเอากล้องไปถ่าย 40 รูปี เป็นสวยที่มีการแสดงไฟอะไรซักอย่างอยู่ติดกับเขื่อน พอเข้าไปข้างในมันก็มีการเต้นระบำน้ำพุ คนอินเดียชอบมาก ทั้งๆที่มันดูธรรมดามากเดินกันไกลมาก ประมาณว่าเดินข้ามเขื่อนเลยทีเดียว เวลาเดินไป ก็มีคนอินเดียคุยกันว่า ไชนีส ไชนีส แมน อะไรประมาณนี้

คงเป็นเรื่องแปลกสำหรับพวกเขามากที่เห็นคนผิวขาว หน้าตี๋ๆ แบบนี้ถึงขั้นที่มีคนมาขอถ่ายรูปด้วย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็เอาเถอะ….หลังจากนั้นก็เดินทางกลับบ้านกว่าจะถึงบ้านก็ตี 1กว่า

 

Indian Tip

การเดินทางไกลด้วยรถยนต์ ที่นี่เป็นอะไรที่โหดมากเนื่องจากสภาพถนนหนึ่ง ถ้าเป็นตอนกลางคืนถนนจะมืดมากไม่มีไฟส่องทางให้ และที่โหดร้ายที่สุดคือ ไม่มีห้องน้ำในปั๊มเหมือนไทย ปั๊มหายากมากๆ ถึงมีก็ไม่มีห้องทำ โชคดีที่คราวนี้ไปเจอร้านอาหารเลยแอบมั่วไปเข้าห้องน้ำของเขา ไม่เช่นนั้นคงต้องเลียนแบบคนอินเดียปล่อยข้างทาง(ซวยสุดขีด)

Others Story

หากใครต้องการอ่านต่อโดยบทความที่เขียนโดยคนอื่นที่ไปด้วยกันใน  ธพรย นี้ สามารถไปดูได้ที่

DJ! Mysore 

 

BOMB MySORE (อย่าลืมเตรียม Dictionary เอาไว้ด้วย เพราะที่นี่เขาใช้ High Level English)

 

5 thoughts on “My sore….Come to my Dream….

  • เหนื่อยโคตรๆอ่ะ…วันนั้น วันต่อมาก็ออกไปเที่ยวข้างนอกอีก โอ้! ชีวิต – -"

  • เฮียจ๊อยผอมลงมากเลยนะคะฉากหลังสวยมากค่ะ

  • ยาวอ่ะ กรูขี้เกียจอ่าน แต่ดูน่าหนุกนะ Miss สาดๆ

  • " … Chinese man …"" … Chinese … "" … Chinese men … "" please, … "" buy this, … "" buy, buy, buy "" please, uncle … "" Uncle, uncle, uncle "" can i take a photo of you "" can you take a photo of me "what a day 😀

Leave a Reply