คนที่อยู่ cubical ของผม 2 คนก็จบไปวันนี้เหมือนกัน คนนึงชื่อ “ชานโตชิต้า”(Shantoshita) กับ “อาป่าน่า”(Aparna)
ช่วงที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยได้คุยกับพวกเขาเท่าไหร่ เนื่องจากความสามารถอันน้อยนิดทางด้านภาษา (more…)
คนที่อยู่ cubical ของผม 2 คนก็จบไปวันนี้เหมือนกัน คนนึงชื่อ “ชานโตชิต้า”(Shantoshita) กับ “อาป่าน่า”(Aparna)
ช่วงที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยได้คุยกับพวกเขาเท่าไหร่ เนื่องจากความสามารถอันน้อยนิดทางด้านภาษา (more…)
รถไฟที่พวกเรานั่งมาจอดเข้าสู่ชานชลา หรือ Platform คนอินเดียเริ่มแย่งกันลงจากรถ พวกเราลงเป็นชุดสุดท้ายของตู้นี้เลยก็ว่าได้
หลังจากร่ำลากับลามะสิกขิม และ หนุ่ม แคชเมียร์ อายุ 24 เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินกันอย่างงงๆ ไปตามเส้นทางชานชลาของสถานีรถไฟนิวเดลีที่ยาวเหยียด สิ่งที่พวกเราได้เจอคือ คนมหาศาล เสียงโวยวายเป็นระยะ
ความไม่เป็นระเบียบ
พอเราเดินขึ้นไปบนสะพานลอยสำหรับเอาไว้ข้ามชานชลา ก็พบกับคนๆนึงติดบัตรเขียนเอาไว้ประมาณว่าเป็นของรัฐบาลมาถามเราว่าจะไปไหน หรือ เราก็บอกไปว่าอยากหาทางออก เขาก็ชี้ไปให้ทังยังเตือนให้ระวังกระเป๋าด้วยเพราะคนเยอะเนื่องจากเทศกาล Diwali
เมื่อเราเดินผ่านมาถึงทางออกซึ่งเป็นที่ขายตั๋ว ทำให้เราได้รู้ว่านรกเป็นอย่างไร แขกดำๆ นั่งอยู่เต็มพื้นพร้อมทั่งสัมภาระของเขา คนเดินกันเยอะแน่นมาก ทั้งพวกที่รอซื้อตั๋ว อีก ยังดีที่พวกเราได้ทำการฝากของไว้ที่ห้อง Cloak room เรียบร้อยแล้ว
พวกเราต้องอยู่ที่นิวเดลีจนกว่าจะถึงเวลา 17.35 ซึ่งเป็นเวลาที่รถไฟจากนิวเดลีไปยังเมืองกัลก้า(เมืองก่อนที่จะไปซิมลา)จะออกเดินทาง พวกเราเลยตัดสินใจออกไปหาร้านอาหารกินกับนั่งรอจนกว่าจะถึงเวลาดังกล่าว
เมื่อเราออกมาจากสถานีรถไฟ ก็เท่ากับว่าเราจะได้เหยียบเมืองหลวงของอินเดีย นิวเดลี ความรู้สึกที่พวกเรารู้สึกคือ "นรกบนดิน" นรกยังไง
คนกับรถเดินปนกันมั่วไปหมด
แตรรถดังตลอดเวลา
คนขับรถขับด้วยสัญชาตญาณดิบของตัวเองไม่สนใจความปลอดภัยของคนเดินถนนหรือแม้แต่ของตัวเอง
บนพื้นดินเต็มไปด้วยขยะและกลิ่นเหม็น
พร้อมทั้งขี้วัว ขี้ควาย เต็มไปหมด
หลังจากเดินออกจากสถานีสักพักเราก็ยังไม่เห็นว่ามีร้านอาหารไหนที่พวกเราพอจะเชื่อใจฝากท้องไว้ได้เลย ก็เลยเดินไปเรื่อยๆจนถึงซอยๆหนึ่งมีขายของเยอะมากมีการปิดถนน พวกเราเลยเดินเข้าไปเพื่อหาร้านอาหาร จนมาเจอร้านอาหารร้านนึง สภาพพอดูได้ แต่พอเข้าไปถึงนั่นแหละ ความรู้สึกก็เปลี่ยนไป ที่นั่งเป็นโซฟา ดำมากแบบว่าไม่เคยซักล้างเช็ดเลย บนโต๊ะก็มีแต่ฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ไฟก็ไม่ยอมเปิด เปิดแค่หน้าต่างบานเล็กๆ บานเดียว
แต่เอาน่ะไหนมาแล้วก็เลยสั่งข้าวผัดกับหมี่ผัดมากินกัน หลังจากกินเสร็จผมคนเดียวออกไปเดินดูเมืองหลวงของอินเดียแห่งนี้ก่อนอีก สอง คน นั่งพักอยู่ที่ร้าน เจเหนื่อยมาก คิมท้องเสีย แต่สำหรับผมยังไหวอยู่ และคิดว่าในเมื่อเรามาถึงแล้วมันจะดีจะร้ายยังไงก็น่าจะไปสัมผัสดูบ้าง ไม่ใช่เรื่องเสียหายและเป็นโอกาสที่ไม่สามารถหามาได้ง่ายๆ
จากการที่ผมได้เดินมาถึงแม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็บอกได้คำเดียวว่าเมืองไทยดีกว่าเป็นล้านเท่า
เวลาผมเดินไปไหนจะมีคนมาทักว่า "คอนนิจิวะ" "Japanese" แน่นอนเขาเข้าใจว่าผมเป็นคนญี่ปุ่น ก็ดีกว่าเป็นคนจีนอยู่หน่อย
เดินๆ ไปเจอเสื้อสเวทเตอร์ สวยดี สนนราคา 550 นี่มันคงคิดว่าผมโง่มากถึงกะจะหลอกฟันเอาแบบนี้ ผมเองก็อยากได้เหมือนกัน เพราะยังไม่มีเอาไว้ใส่ตอนไป ซิมลาเลย เลยต่อราคามันไป 200 มันทำเป็นตกใจ บอกว่าขายไม่ได้ๆ ไม่ได้เด็ดขาด ก็ยืนต่อกับมันอยู่สัก 20 นาทีได้ จนราคาอยู่ที่ 300 RS ผมก็บอกมันว่าถ้า 300 ไม่ได้ก็ไม่เอาแล้ว(เพราะคิดว่าราคา 300 นี่สมเหตุสมผลที่สุดแล้วสำหรับสเวทเตอร์) มันก็ทำเป็นไปดูที่อื่นก่อนก็ได้(ดูมาหมดแล้ว) แต่พอผมจะไปมันกลับบอกว่า ok ได้ๆ 300 ก็เลยซื้อสเวทเตอร์มาได้ในราคา 300 Rs
จากนั้นก็กลับไปหาอีก 2 คน แล้วออกเดินทางกลับสู่สถานีรถไฟพร้อมกับขึ้นรถไฟกับกัลก้า เมื่องที่จะต้องต่อรถไปที่ซิมลา
ตอนต่อไปจะเล่าถึงกัลก้าครับ
เมื่อวันเดินทางมาถึงพวกเราต้องเดินทางไปยังสถานีรถไฟที่ชื่อว่า Bangalore CITY เพื่อออกเดินทางไป นิวเดลี
สถานีรถไฟใน บังกาลอร์มีทั้งหมด 3 สถานี สถานีนี้เป็นสถานีที่ใหญ่ที่สุด
กำหนดเวลารถไฟออก คือ 18.40 แต่พวกเราออกเดินทางจากที่พักเวลา 14.30 ใช้เวลาในการเดินทางจากที่พักไปสถานีรถไฟ 1 ชั่วโมง
พวกเราไปถึงเวลาประมาณบ่าย
3 ครึ่งนั่นหมายความว่าเราต้องรอถึง 3 ชั่วโมงกว่าที่รถไฟจะออก
พอไปถึงสถานีรถไฟสิ่งที่ผมรู้สึกได้คือความสกปรก ความหน่าแน่นของฝูงชน คนอินเดียส่วนใหญ่นั่งนอนบนพื้น ทั้งๆที่เขาก็มีการสร้างห้อง Waiting Room เอาไว้ให้แล้ว แต่ในห้องพวกนั้นกลับไม่ค่อยมีคน
พวกผมเอาสัมภาระไปฝากที่ห้องที่เรียกว่า "Cloak Room" เสียค่าฝากกระเป๋ากันใบละ 10 Rupees จากนั้นก็ไปเดินเล่นกันต่อจนใกล้ๆถึงเวลารถไฟก็มาถึง
ที่ทางเข้ารถไฟแต่ละตู้จะเขียนที่นั่งและชื่อผู้โดยสาร เพศ อายุ เอาไว้พร้อมสรรพ ให้คนขึ้นได้ตรวจสอบเอาจากตรงนั้น
หลังจากที่ผมตรวจสอบในตั๋วเราได้ตู้ที่ชื่อ AS2 เป็นชั้นที่เรียกว่า "AC3 Tier" หรือ แอร์สามชั้น ถ้าแปลเป็นไทย
ซึ่งก็หมายความว่าต้องมีคนนึงที่ไปนั่งอยู่กับแขกเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหมือนกัน
ที่นั่งบนรถไฟจะเป็นม้านั่งยาวมีเบอะพอนิ่มนั่งฝั่งละ 3 คน ข้างบนมีที่นอนอีก 2 ชั้น ชั้นสอง ถูกพับเก็บไว้ใต้ที่นั่งบนรถไฟจะมีห่วงเล็กๆอยู่เพื่อให้เราเอาโซ่ไปคล้องกับกระเป๋า ป้องกันการถูกขโมย ตรงนี้ผมหาข้อมูลมาจึงเตรียมโซ่ไปเรียบร้อย แต่ที่สถานีรถไฟก็มีขายกันเกลื่อน
พอเราขึ้นไปนั่งจัดกระเป๋าเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยอยู่ดีๆ เจ ก็ร้องโวยวายขึ้นมา เล่นเอาตกใจกันอย่างมาก สิ่งที่เจ เจอ นั่นก็คือ"แมลงสาบ" บนที่นั่งนั่นเอง แล้วพวกเราก็เจอกับมันตลอดการเดินทางรวมกันหนูตัวเล็กๆด้วย
สักพักเพื่อนร่วม Coach ของพวกเราก็ขึ้นมาเป็น พระธิเบตอายุ 37 ปี , หนุ่ม IT อายุ 24 จากแคว้น แจมมูและแคชเมียร์ ส่วนอีกคนจะตามขึ้นมทีหลัง (อาจจะส่งสัยว่าไปรู้อายุเขาได้ไงมันมีติดเอาไว้ที่ตู้ก่อนขึ้นไง)
พูดถึงระยะเวลาการเดินทางจาก เมืองบังกาลอร์ ไปยัง นิวเดลี อยากให้ท่านผู้อ่านลองเดาดูสักนิดว่าใช้เวลานานแค่ไหน(บังกาลอร์อยู่ทางตอนใต้ เดลีอยู่ทางตอนปลายภาคเหนือของอินเดีย)
12 ชั่วโมง? 24 ชั่วโมง ? ไม่ใช่ครับ ถ้าลองคิดจากระยะเวลาการเดินทางด้วยรถไฟจาก นราธิวาสไปเชียงราย (ที่ไทยคงไม่มีสายไหนวิ่งยาวขนาดนั้นเหนือสุดไปใต้สุด) คงจะกินเวลาประมาณ เกือบๆ 30 ชั่วโมง
แต่รถไฟที่ผมนั่งไปใช้เวลาทั้งหมด 42 ชั่วโมง ใช่แล้วครับ เกือบๆ 2 วันเต็มๆ นั่นแสดงว่าพวกเราต้องอยู่บนรถไฟ 2 คืน เต็มๆ
แล้วเราจะกินอะไรล่ะ ? บนรถไฟสายยาวๆ ของอินเดียจะมีตู้ที่เรียกว่า Pantry สำหรับทำอาหารอยู่ จะมีพนักงานของรถไฟเดินมาถามเป็นระยะๆ ว่าจะกิน Breakfast ไหม lunch ไหม dinner ไหม ก็อาศัยตรงนี้รอดมาได้
ที่เป็นเรื่องตลกบนรถไฟคือจะมีคนขายพวก ชา กาแฟ มาบ่อยมาก สนนราคาแก้วละ 4-5 Rupees ชาของอินดียเขาเรียกว่า "จัย" ซึ่งเวลาเขามาขายก็จะตะโกนว่า "จัยๆๆๆๆ" เสียงยืดๆ ตลอดเวลา เล่นเอาไม่ได้นอนกันไปเลย รู้สึกเหมือนเจจะชอบเสียงนี้มาก
ผมได้ลองชาที่เขาขายกินครั้งแรกๆ ไม่อร่อยเลย แต่พอกินๆ ไปกลับรู้สึกว่ามันอร่อยทำให้ตลอดทริบนี้ติดชาอินเดียไปเลย ชาที่มาขายจะมีหลายแบบมาก "มาซาลา จัย" เอย "ซอยยา จัย" (ลองฟังเสียงสำเนียงอินเดียมา) แต่ทุกอย่างรดชาติเหมือนกันหมดทำเอาผมเสียตังค่าโง่ลองไปตั้งหลายแก้ว
ช่วงที่อยู่บนรถไฟคิมจะเรียกว่าซวยก็ว่าได้เพราะเป็นทั้งไข้หวัด และ ท้องเสีย
ระยะเวลาสองวันบนรถไฟ มันมากพอที่จะทำให้ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆข้างๆ ได้ อย่างเช่น พระลามะจากเมืองสิกขิม ได้สอนพวกเราเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา หลายเรื่อง เช่น ลามะ แปลว่า ผู้สอน , ศาสนากับวิทยาศาสตร์ , การปฏิบัติตนของพระแต่ละนิกาย และอื่น
ส่วนหนุ่มที่มาจาก แจมมูและแคชเมียร์ พวกเราถามเขาว่าไม่กลัวแผ่นดินไหวเหรอ เขาตอบกลับมาว่า "ไม่กลัวหรอกบ้านเมืองของเราสร้างได้แข็งแรงไม่เหมือนญี่ปุ่น อีกอย่างที่ๆ เราอยู่มีเรื่องที่น่ากลัวกว่าแผ่นดินไหวตั้งเยอะ" นั่นสิครับดินแดนเจ้าปัญหาระหว่างอินเดียกับ ปากีสถานแห่งนี้ มีการก่อการร้ายอยู่เนืองๆ
เอาละครับ หลังจากอยู่บนรถไฟกันมานาน พวกเราก็มาถึงเดลี เมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุด เป็นรัฐพิเศษ 1 ใน 27 รัฐของอินเดียแล้ว โปรดติดตามตอนต่อไป
ตอนแรกกะว่าจะไม่เล่าเรื่องที่ไปเที่ยวมา แต่ถ้าไม่เล่าก็คงน่าเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ดีๆที่ได้เจอมาให้คนอื่นได้รับรู้เอาเป็นว่าผมจะขอเล่าแต่เรื่องที่ดีๆ ของประเทศนี้ก็แล้วกัน
ผมได้มีโอกาส(ที่แลกด้วยเงิน) ไปเที่ยวทางตอนเหนือของอินเดียเป็นเวลาสองอาทิตย์ จากตอนแรก วางแผนไว้เพียงอาทิตย์นิดๆ แต่แล้วก็ยืดเยื้อไปเป็น สอง อาทิตย์เนื่องด้วยความเสียดายและไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปอีกเมื่อไหร่ เลยเที่ยวยาวไปเลย แต่หารู้ไม่ว่า สองอาทิตย์เป็นเวลาที่ยาวนานเกินไป
แผนที่วางไว้ตอนแรก คือ เมืองตอนเหนือที่ชื่อ ซิมลา –> นิวเดลี –> อักรา(เมืองที่มี ทัช มาฮาลตั้งอยู่)แต่เนื่องจากเดชะบุญหรือสวรรค์ลิขิตเอาไว้ก็หารู้ไม่แผนการเดินทางคือวันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2005 แต่ วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม ตอนเย็นๆในขณะที่ผมกำลังนั่งดูทีวีอยู่กับเพื่อนที่นี่ ก็มีคนที่บ้านโทรหา ปอนกับนุ ว่ามีการวางระเบิดที่ นิวเดลี
ผมไม่รอช้ารีบเปลี่ยนทีวีไปช่อง CNN BBC หรือแม้แต่ทีวี ท้องถิ่น ทุกช่องรายงานข่าวเดียวกันหมด เป็นการระเบิดพร้อมกัน 3 จุด ใน นิวเดลลี มีคนตาย และได้รับบาดเจ็บหลายคนทีเดียว
หลังจากที่ผมนั่งคิดดูแล้วเห็นว่าไม่ควรไปนิวเดลี แต่จะไม่ไปเลยก็ไม่ได้เพราะว่าพวกเราได้จ่ายสตางค์ค่ารถไฟและค่าโรงแรมไปหมดแล้ว เลยลองถามเพื่อนร่วมทริบนี้อีกสองคน ก็คือ คิม และ เจ ทั้งสองคน เห็นด้วยที่จะไม่ไปนิวเดลี แผนการใหม่จึงเริ่มขึ้น
จากเดิม คิมบอกว่าอยากเห็นหิมะ จาการหาข้อมูลของผมมันไม่มี หิมะที่ซิมลาอยู่แล้ว แต่ที่ มานาลิมีหิมะ เราเลยเปลี่ยนแผนไปที่ มานาลิ 1 ที่
และเช่นกัน เจ ก็บอกว่าอยาไปธรรมศาลาอยู่แล้วเราเลยเปลี่ยนแผนไป ธรรมศาลาด้วย สำหรับผมไม่ได้มีที่ไหนที่อยากไปเป็นพิเศษเลยไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะว่าไปที่ไหนก็ได้ ใจจริงผมอยากไปทุกที่ในอินเดียอยู่แล้ว
แผนการจึงเปลี่ยนเป็น ซิมลา –> มานาลิ –> ธรรมศาลา –> อักราแทน ไม่ไปเดลีแล้ว โดยมีเวลาทั้งหมด 13 วันเต็มๆ แต่เวลาเที่ยวมันน้อยกว่าที่คิดนัก
สรุปแล้ว แผนการที่ตั้งไว้ก็ต้องเปลี่ยนพวกเราสามคนก็ไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองหลวงของอินเดียที่ชื่อ นิว เดลี แต่ก็ต้องมีการเเปลี่ยนรถที่เมืองนี้อยู่เหมือนกัน